เกมคู่บิ๊กแมตช์ประจำวันอาทิตย์ ของศึกพรีเมียร์ลีกอังกฤษ เป็นการพบกันระหว่างแมนฯซิตี้ เจ้าบ้านเปิดรังเอติฮัด สเตเดี่ยมรับการมาเยือนของแชมป์เก่าอย่างลิเวอร์พูล
ก่อนเกมเจ้าบ้าน แมนฯซิตี้ อยู่ในอันดับ 11 ของตารางคะแนน ถือเป็นการออกสตาร์ทที่แย่ที่สุดของเป๊บ กวาร์ดิโอล่า นับตั้งแต่มาคุมทีมให้ท่านชี้ค มานซูร์ แต่แม้ว่าจะมีผลงานในพรเมียร์ลีกไม่ดีนัก แต่การลงเล่นเกมยุโรปถือว่ายอดเยี่ยมเพราะชนะ 3 นัดรวด
ผลงานในพรีเมียร์ลีก 6 เกมแรก ชนะ 3 เสมอ 2 แพ้ 1 โดยในเกมที่แพ้เป็นการแพ้ในบ้านให้เลสเตอร์ไปถึง 1-5 ขณะที่ 3 เกมหลังสุดชนะอาร์เซน่อล เสมอเวสต์แฮมและชนะเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด เรือใบสีฟ้ายิงได้แค่นัดละ 1 ลูกเท่านั้น
ปัญหาโดยตรงของแมนฯ ซิตี้ปีนี้คือการที่นักเตะยังโชว์ผลงานที่ไหลลื่นไม่ได้ แนวรุกยังขาดๆ เกินๆ และแดนกลางจังไม่สามารถประสานงานกันสร้างเกมรุกที่ลงตัวได้
“เรายอมรับว่าคิดหนักในการเจอลิเวอร์พูล เพราะพวกเขาแข็งแกร่งมาก ถือเป็นยอดทีมของโลก แต่เราจะชนะเกมวันอาทิตย์นี้ให้ได้” แบร์นาโด้ ซิลวา กล่าว
“We expect a very tough match against Liverpool, we know how strong and solid they are, one of the best teams in the world.
“We’ll do everything to keep winning and to win on Sunday.
“We know it will not be easy, but we will do everything we can.”
🔷 #ManCity pic.twitter.com/TSdWfCD1R8
— Manchester City (@ManCity) November 6, 2020
ผู้มาเยือนจากเมืองลิเวอร์พูลถือเป็นคู่แข่งเบอร์หนึ่งในช่วง 2 ฤดูกาลที่ผ่านมา ก่อนเกมนี้แชมป์เก่าอยู่ในตำแหน่งรองจ่าฝูงที่เป็นรองแค่ประตูได้เสียให้นักบุญแดนใต้ เซาท์แธมป์ตัน (ก่อนเอฟเวอร์ตันลงเตะกับแมนฯ ยูไนเต็ด) ซึ่งเป็นผลพวงมาจากนัดที่บุกไปแพ้แอสตัน วิลล่าแบบเหลือเชื่อถึง 7-2 เมื่อเกมพรีเมียร์ลีกลงเล่นมา 7 นัด ชนะ 5 เสมอ 1 แพ้ 1 สามนัดหลังสุดก็เหมือนแมนฯซิตี้ที่ชนะ 2 เกมเหนือเวสต์แฮมกับเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ดด้วยสกอร์ 2-1 ส่วนอีกนัดเสมอเอฟเวอร์ตัน 2-2
ลิเวอร์พูลมีปัญหาที่เกมรับต้องจัดทัพโดยไม่มีเวอร์กิล ฟาน ไดจ์คที่เจ็บและผ่าตัดหัวเข่าจนพักยาวหมดฤดูกาลไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นตั้งแต่ไร้ฟาน ไดจ์ค หงส์แดงชนะรวดมา 5 เกม ถึงแนวรับจะพลาดเสียประตู แต่ก็สามารถทดแทนด้วยแนวรุกที่อันตรายสุดขีดในนาทีนี้ ลิเวอร์พุลสามารถที่จะใช้ผลงานกดดันคู่แข่งในแง่ที่ว่า ทีมจากเมอร์ซี่ไซด์พร้อมทำประตูแซงและชนะในเกมได้เสมอ
แนวรุกของลิเวอร์พูลที่เคยพึ่งพาสามประสานซาลาห์-มาเน่-ฟีร์มิโน่ ในฤดูกาลที่แล้วถ้าวันใดวันหนึ่ง 1 ใน 3 ประสานดันเล่นไม่ออก อย่างน้อยคนอื่นก็จะทำผลงานดีขึ้นมาทดแทน แต่ปีนี้ในวันที่คนหนึ่งในนี้เล่นไม่ออก เจอร์เก้น คล็อปป์สามารถปล่อยตัวสำรองคุณภาพทัดเทียมกันลงทำหน้าที่แทน ไม่ว่าจะเป็นดิโอโก้ โจต้า, เชอร์ดาน ชากิรี่หรือทาคุมิ มินามิโนะ ที่ถูกฝึกฝนให้เล่นแบบเดียวกับสามประสานไว้แล้ว และโจต้าคือคนที่ทำงานได้สมบูรณ์ที่สุดในนาทีนี้
ขณะเดียวกันผลงานในแชมเปี้ยนลีกของลิเวอร์พูลยอดเยี่ยมเช่นกัน การลงเล่นแบบชนะรวดทั้ง 3 เกมทำให้คล็อปป์สามารถวางใจกับเกมที่เหลือและมาโฟกัสกับเกมลีกได้มากขึ้น
"With the players Liverpool have got out, Manchester City have got to win this game. If they don't, they'll look at it as a major opportunity lost."
Is it a must win game for #MCFC in the title race? 🏁
— Sky Sports Premier League (@SkySportsPL) November 6, 2020
เกมนี้จะเป็นอีกเกมที่มีความอึดอัดในการเล่นสูง เพราะต่างฝ่ายต่างรู้ดีว่าแนวรับค่อนข้างที่จะยังไม่ลงตัว โดยเฉพาะฝั่งทีมเยือนลิเวอร์พูล การจะเน้นสร้างสรรค์ค์เกมบุกและเล่นเพรสซิ่งหนักๆ ตามสไตล์อาจจะไม่ใช่แผนที่ดี เพราะต้องยอมรับว่าแมนฯ ซิตี้เองก็เก่งพอที่จะเอาตัวรอดจากการเพรสซิ่งหนักๆ ได้ รูปเกมจึงเป็นการเน้นสร้างความชัวร์ในจังหวะครองบอลเพื่อขึ้นเกมรุก และตั้งรับอย่างมีวินัยในเกมรับทั้งสองทีม
จุดชี้ขาดในการเล่นนัดนี้ อยู่ที่ใครสามารถใช้โอกาสในการเล่นเกมโต้กลับได้ดีกว่ากัน รวมถึงการวัดใจว่าใครจะอดทนหาช่องเจาะแนวรับของอีกทีมที่ตั้งรับแน่นและลึกเข้าไปล่อเป้าได้
Liverpool FC without Thiago for Man City clash but handed Diogo Jota boost #MCFC https://t.co/RBqFTLj9sx
— Manchester City News (@ManCityMEN) November 6, 2020
เดิมทีลิเวอร์พูลจะได้เปรียบในการเล่นแบบสวิชต์ซ้าย-ขวา แต่การขาดดิเอโก้ อัลคันทาร่าที่ไม่พร้อมลงสนามจะทำให้ความหลากหลายของลิเวอร์พูลหายไประดับหนึ่ง ส่วนแนวรุกของแมนฯ ซิตี้ที่นำโดยสเตอร์ลิ่งและกาเบรียล เฆซุสดูจะอันตรายระดับสูงสุดสำหรับแนวรับหงส์แดง
ความน่าจะเป็นของเกมนี้ : แมนฯ ซิตี้ เฉือน 1-0